เป็นหนี้ต้องใช้ - เป็นหนี้ต้องใช้ นิยาย เป็นหนี้ต้องใช้ : Dek-D.com - Writer

    เป็นหนี้ต้องใช้

    แม่ของผมต้องประกอบสัมมาชีพเพียงคนเดียว รายได้จากการขายขนม วันละไม่ถึง 100บาท เวลาเปิดเทอมรายจ่ายต้องมีมาก แม่จึงต้องกู้ยืมจากญาติ บางครั้งได้และบางครั้งไม่ได้ ขึ้นอยู่กับความเห็นใจของเจ้าหนี้

    ผู้เข้าชมรวม

    25

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    25

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  23 ก.ค. 67 / 13:48 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                                    เป็นหนี้ต้องใช้

       เมื่อวัยเด็ก ผมเห็นแม่ต้องดิ้นรนเที่ยวไปขอยืมเงินคนนั้น..คนนี้ เพื่อมาเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนทำขนม เป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการศึกษาให้ลูกแม่ของผมมีลูกทั้งหมด 9 คน สามคนแรกตั้งแต่คนที่ 1-3  จำต้องยกให้เป็นบุตรบุญธรรมผู้อื่น สิ่งที่ผมยังจดจำได้ดีและคงไม่ลืมคือ“แม่พยายามเก็บหอมรอบริบ เพื่อไว้ใช้จ่ายยามจำเป็นจริงๆ แต่คนที่มาช่วยผลาญเงินก็คือสามีของเธอซึ่งเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดผมเอง พ่อเป็นคนใจใหญ่เวลาดื่มสุรากับเพื่อนคราใด มักจะเป็นคนจ่ายเงินเกือบทุกครั้ง  

     “พรุ่งนี้..จะมาจ่ายให้  ไม่ต้องกลัวหรอกเงินแค่นี้เอง” พ่อพูดกับเจ้าของร้านอาหาร

      ผมพบพ่อและเพื่อนๆของเขา กำลังนั่งดื่มเหล้าที่ร้านขายข้าวต้มและอาหารตามสั่ง  บ่อยๆครั้งช่วงที่ผมไปส่งขนมที่บ้านป้าที่อยู่ใกล้โรงหนัง(พรุ่งนี้จะจ่ายให้) เป็นคำพูดที่ผมได้ยินกับหูตัวเอง ผมพอจะทราบถึงบุคลิกของพ่อว่า เวลาที่เมาสุราแล้ว มักจะใจใหญ่ เพื่อนๆของพ่อคงจะรู้นิสัยจึงคบหาและตีสนิทเพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าเหล้า ค่ากับแกล้ม(หวังกินของฟรี) บางครั้งผมมีความรู้สึกว่าเพื่อนๆของพ่อเอาเปรียบพ่อตลอดเวลา และผมยังคิดว่าพ่อของผมไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมและความกะล่อนของเพื่อนพ่อ

                                             *****************************

       ช่วงที่ผมมีอายุได้ 5 ขวบมีเพื่อนบ้านในห้องแถวซึ่งอยู่ติดกันชื่อน้าเยี่ยมภริยาของน้าจรัลซึ่งทำงานที่ป่าไม้อำเภอ ได้สอนวิธีการทำขนมรังผึ้งและทองม้วน เพื่อให้แม่ทำขายที่หน้าบ้าน ก่อนหน้านี้แม่ทำขนมไม่เป็นสักอย่าง อาชีพของแม่ดั้งเดิมคือรับจ้างทั่วไป เมื่อน้าเยี่ยมเห็นว่า แม่ยังไม่มีอาชีพที่แน่นอนจึงสอนวิธีการผสมแป้งการหมักแป้ง การโม่แป้งแม่จึงค่อยๆเรียนรู้  วันแรกที่แม่ทำขนมไม่สวยนัก อาจเป็นเพราะแม่พิมพ์ขนมรังผึ้งยังไม่เคยสัมผัสแป้งและความร้อนของเตาถ่าน บางครั้งก็แฉะบางครั้งก็เกรียม เพราะยังกะเวลาการพลิกขนมกลับไปกลับมาไม่ถูก กว่าจะจับทางให้ขนมมีความพอดีทั้งสองด้านได้ ก็ต้องลองทำขนมถึง 8 -9 ครั้ง

      “เด็กๆเอาขนมนี่ไปกิน สิ  ”แม่เรียกลูกๆให้เอาขนมที่เพิ่งทดลองทำเป็นวันแรกไปกิน 

       แม้ขนมจะไม่สวย แต่รสชาติที่ได้กินก็ไม่เลวนักพวกเราลูกๆต่างลงความเห็นอย่างนั้น นี่จึงทำให้แม่มีกำลังใจ

      “อร่อยนะ เพียงแต่ต้องกะเวลา พลิกไปมาให้ให้หน้าขนมสวยทั้งสองด้าน” น้าเยี่ยมพูด

       วันแรกที่แม่ลองทำขาย ชาวบ้านยังไม่มีใครรู้สักคน แค่วันแรกแม่ก็ทุนหายกำไรหด เพราะคนมาซื้อกินไม่มากนัก

      “อย่าท้อ ตอนที่ฉันทำขายเมื่อก่อน ก็แบบนี้แหละ” น้าเยี่มพูด

     เมื่อก่อนน้าเยี่ยมทำขนมรังผึ้งกับขนมทองม้วนขายที่ตลาด แต่ตอนหลังเปลี่ยนมาทำขนมจีน น้ำพริก น้ำยา แกงไก่ ช่วงสายๆ น้าเยี่ยมจะคอนนำขนมจีนไปขายตามห้องแถวในเขตเทศบาล 

                                          *******************************

       หลังจากแม่ทำขนมรังผึ้งขายได้หนึ่งเดือน ฝีมือก็เริ่มเข้าที่เข้าทางจึงได้เพิ่มการทำขนมทองม้วนขึ้นมาเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง  ผมยังเคยช่วยแม่นำแผ่นขนม ที่แม่เพิ่งผิงเสร็จมาม้วนให้เป็นทรงกลมให้มีขนาดเดียวกันเพื่อมาบรรจุลงถุงขาย แม่ทำขนมสองอย่างนี้อยู่สองปี เพื่อนแม่ที่อยู่ปราจีนบุรีได้มาเที่ยวหา ได้สอนวิธีการทำซาลาเปาขนมจีบให้ กว่าแม่จะปรับสูตรให้เข้าที่เข้าทางได้ก็ใช้เวลาอยู่นาน แม่เล่าให้ฟังว่าช่วงที่ผมเกิดมา น้าคนนี้ได้มาชาวยเลี้ยงดูผมจนถึงสองขวบ และบางครั้งเธอยังนำเอาผมไปเลี้ยงที่บ้าน พูดได้ว่าน้า"กล่ำ"เพื่อนของแม่คนนี้ เป็นผู้มีพระคุณต่อผม ที่ผมมิอาจลืมเลยได้

          “แม่..เสี่ยซัว คงจะมาทวงเงินค่าเหล้าที่พ่อไปแปะกินแน่ๆเลย” ผมพูดกับแม่

         “ไม่น่าจะพลาด..หรอก” แม่พูด

        “เจ๊.. ผมจะมาขอเก็บเงินค่าเหล้ากับค่ากับแกล้ม ที่พ่อบ้านของเจ๊ไปกินเมื่อวันวาน  ”

        “เท่าไหร่??เหรอ เสี่ย ”

        “ร้อยสิบห้าบาท” 

        “โอ้โห…กินอะไรกันนักหนา”แม่บ่น  (ราคาทองคำในเวลานั้น ราคาบาทละ 415-420 บาท)

                         แม่เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วใช้กุญแจเปิดลิ้นชัก นำเงินจ่ายให้เสี่ยซัว

        “ขอบใจ.จ่ะ เจ๊”

        คนหาเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอยในครัวเรือนคือแม่ วันๆหนึ่งแม่จะขายขนมได้อย่างเต็มที่ก็ไม่เกิน 60 บาท ไหนต้องซื้อข้าวกับข้าว จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าบ้านอีก การที่ผมอยู่ใกล้ชิดกับแม่และเคยช่วยนับเงินให้แม่ทุกๆวัน  จึงพอจะทราบจำนวนเงินที่ได้รับจากการขายขนม แม่จะกันเงินไว้จ่ายค่าวัตถุดิบให้กับสองเจ้า เป็นหลักๆ รวมทั้งเตรียมเงินค่าเช่าบ้านเดือนละ 50บาทไว้จ่ายกับคุณนายวรรณา

           แม่ต้องเอาเงินที่แม่สะสมไว้ มาจ่ายค่าเหล้าให้พ่ออีกตามเคย บ่อยครั้งๆที่พ่อเมาและต้องมีปากมีเสียงกับแม่ แม่ต้องอดกลั้นทุกอย่างเพื่อไม่ให้พ่อหงุดหงิด บางทีแม่พูดอะไรออกไปไม่ค่อยเข้าหูพ่อ พ่อก็จะแสดงความเกรี้ยวกราด อาละวาด ทุบข้าวของเครื่องใช้จนพัง อย่างเช่น จาน ชาม หม้อ กระทะแหลกละเอียดบางครั้งยังไม่สาแก่ใจ ยังจะมาทำลายจักรเย็บผ้าที่แม่เพิ่งผ่อนกับบริษัทซิงเกอร์หมด 

       “อย่านะ ..นี่ชั้นไว้ทำเป็นอาชีพเสริม”แม่พูด

        เมื่อพ่อดื่มเหล้ามาครั้งใด ผมก็จะต้องคอยเป็นคนห้ามทัพ และคอยระแวดระวังไม่ให้พ่อทำร้ายแม่ การยืนตรงกลางคือการป้องกันไม่ให้พ่อเข้าถึงตัวแม่โดยตรง 

      “พ่อ..อย่าทำแม่ นะ  ”ผมต้องตะโกน และขอร้องให้พ่อยุติการกระทำดังกล่าว

       “เอ็ง..อย่ามายุ่ง  เรื่องของผู้ใหญ่” พ่อพูด

        กว่าพ่อจะระงับอารมณ์ได้ ก็ต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ผมบอกแม่ ให้ออกจากสถานการณ์ตรงนี้ไปอยู่หลังบ้าน 

       “เดี๋ยวผมจะหาอาหารให้พ่อกิน แม่ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งราดน้ำมัันบนกองไฟ  รู้ก็รู้ว่าเวลาพ่อเมา ไปพูดอะไรไม่ถูกใจแก แกเป็นต้องระเบิดอารมณ์พาลคนอื่นไปทั่ว”  ผมพูด

       แม่ยอมเชื่อฟังผม โดยเดินไปที่หลังบ้าน ระยะทางจากหน้าบ้านไปหลังบ้านไกลกว่า 15 เมตร  

    “กินข้าวนะพ่อ เดี๋ยวผมจัดสำรับให้กิน วันนี้มีมะระยัดไส้ กับไก่ผัดขิงที่พ่อชอบ ” ผมพูด

    “ดี เอามาเลย”พ่อพูดสั้นๆอารมณ์พ่อดูเย็นขึ้น ผมจึงเบาใจ หลังจากพ่อกินข้าวอิ่ม จึงอาบน้ำและเข้านอน 

                     ผมมาจัดเก็บจานชามเข้าตู้กับข้าว กว่าจะได้หลับก็เกือบห้าทุ่ม 

                                              ******************************** 

    เพื่อนบ้านที่แม่สนิทนอกจากน้าเยี่ยมแล้วยังมีป้าเช็ง แม่ของไอ้เล็กเพื่อนรักและเพื่อนสนิทที่เสียชีวิตไปตั้งแต่ยังเป็นวันรุ่น ป้าเช็งเป็นผู้หญิงที่น่าสงสาร ป้าต้องทำหน้าที่ปอกผลไม้อาทิสับปะรด ฝรั่ง มันแกว สละ  มะม่วงฯลฯเพื่อให้อาแปะสามีของเธอนำไปแช่น้ำแข็งให้เย็นในรถเข็นที่เป็นตู้กระจก นอกจากนี้ป้าเช็งยังต้องทำหน้าที่ดองผลไม้ประเภทต่างๆเช่น มะกอก มะดัน  ฝรั่ง มะม่วง มะขาม ฯลฯ ผมสังเกตที่มือป้าเช็งจะมีตุ่มคันเพราะปอกผลไม้อย่างสับปะรดที่เป็นกรด นี่ขนาดใส่ถุงมือยางแล้วก็ยังช่วยอะไรไม่ได้มาก

    “นี่เจ๊  ฉันว่าจะขอยืมเงินสักร้อยนึง เพื่อไปเล่นไพ่นกกระจอก บ้านนายเหลี่ยวหน่อย ” ป้าเช็งพูดขอยืมเงิน

    “ชั้นจะแบ่งให้  พอดีต้องกันเอาไว้เป็นค่าเช่าบ้านด้วย ” แม่พูด

    “รับรอง ฉันไม่ผิดสัญญาแน่นอน ขอสักวันสองวันจะคืนให้ ” ป้าเช็งพูด

    ป้าเช็งไม่มีอาชีพอะไรเลย ที่จะหาเงินไว้ใช้เองได้  หากสามีเธอไม่ให้เงินใช้ก็คงต้องแอบจิ๊ก(ลัก)ตอนสามีเผลอ ซึ่งผมก็เคยเห็นบ่อยๆ  

    “อย่าเอ็ดไปนะ”ป้าเช็งพูด พร้อมจ่ายเงินค่าปิดปากผมหนึ่งสลึง

    จริงๆแล้ว ผมก็ทราบถึงปัญหาของป้าเช็งดีเกี่ยวกับเรื่องการเงิน  รายได้ที่แกจะได้จริงๆก็คือวันใดที่มือดีหน่อย เจ้ามือแจกไพ่ให้เข้าเซ็ตหรือมีดวงเฮงแกก็จะเล่นได้เงินเป็นกอบเป็นกำ บ่อยๆครั้งทีแกไปเล่นไพ่แล้วกลับเข้ามาบ้านในเวลาตีสี่  ป้าก็จะขออาศัยบ้านผมเป็นทางผ่านเพื่อเข้าด้านหลังบ้านได้  

    “ตามสบายครับ ป้า  ” ผมพูด

       ปกติผมต้องตื่นมาก่อไฟเพื่ออุ่นขนมจีบ ซาลเปาให้ร้อนเพื่อเตรียมขายและต้องก่อไฟด้วยฟืน เพื่อทำซาลาเปาทอด เมื่อป้าเช็งเลิกจากการเล่นไพ่นกกระจอกเลยต้องขออาศัยบ้านผมเป็นทางผ่าน หรือหากบางวันป้าไม่รีบเข้าบ้านก็จะนั่งรอจนแม่ของผมลุกขึ้นมาทำขนม 

    “ไปซื้อกาแฟร้อน มาสองกระป๋อง  ” แม่พูด

      ผมไปร้านขาประจำคือร้านเจ๊ม่วยที่ตลาดสด ผมเดินไปเพียงห้านาทีก็ถึงตลาด รอเจ๊ม่วยชงกาแฟใส่กระป๋องเพียงนาทีเดียวก็เสร็จ วันนี้..โชคดีที่มาถึงน้ำในหม้อก็เดือดพอดี  

      “ส่งให้ป้าเช็ง กระป๋องนึง  ”  แม่พูด

       ผมยื่นกาแฟให้ป้าเช็ง ป้าเช็งขอบใจ คนทั้งสองคนคุยกันด้วยภาษาเขมร ซึ่งผมไม่รู้ความหมาย ก็ไม่ได้สนใจอะไร ยังคงทำหน้าที่ทอดขนมต่อไป 

             หลังจากป้าเช็งยืมเงินแม่ของผมไปแล้ว สองวันต่อมา.. ป้าเช็งก็เอาเงินที่ยืมไปมาคืนให้ คนทั้งสองต่างพึ่งพาอาศัยกัน หลายๆครั้งแม่ก็หยิบยืมป้าเข็ง เนื่องจากมีปัญหาด้านใช้จ่าย โดยปกติเจ้าหนี้ของแม่ จะมีสองคนหลักๆคือเถ่าแก่ร้านเซียมฮั้วกับเขียงหมูแป๊ะกัง แม่ต้องซื้อแป้งสาลี แป้งมัน น้ำตาล ไข่ ถั่วซีกฯลฯจากร้านเซียมฮั้วและ แม่ต้องซื้อเนื้อหมูจากแป๊ะกังเพื่อมาทำไส้ขนมจีบ ซาลาเปา แม่ของผมเป็นลูกค้่าของเถ้าแก่ทั้งสองคนมากว่า 40 ปี โดยไม่เปลี่ยนแปลง  สิ่งนี้ถือว่าทั้งลูกค้ากับผู้จำหน่ายต่างซื่อสัตย์และยืดหยุ่น แก่กันและกัน ผมมีความชิดเชื้อกับครอบครัวของเถ้าแก่เซียมฮั้วกับแป๊ะกังดี โดยผมสามารถเข้าออกภายในบ้านเขา ดังกับคนในครอบครัวเดียวกัน 

      “วันนี้ แม่ให้ผมนำเงินที่ขอยืมเถ้าแก่เซียมฮั้ว มาคืนครับ” ผมพูดกับภริยาของเถ้าแก่

     “ขอบใจจ๊ะ ” ภริยาเถ้าแก่พูด

      เธอรับเงินแล้วเก็บใส่ลิ้นชัก โดยไม่ต้องนับ นี่ึคือความไว้วางใจกันและกันเพราะเราทำมาค้าขายร่วมกันมานาน จนรู้นิสัย

      “ขากลับ หนูแวะไปเก็บไข่เป็ดเทศ ที่หลังบ้าน เอาไปทอดกินกับพี่น้องนะ”

       “ขอบคุณครับป้า” ผมพูด

      นานครั้งๆทืี่แม่จะมาขอยืมเงินเถ้าแก่เซียมฮั้วและแป๊ะกั งเป็นเพราะเป็นช่วงเปิดเทอมใหม่ของลูก น่าเสียดายที่พี่คนโตของผมเอนฯติดคณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬา แต่แม่ไม่มีเงินจะส่งเสีย.  เขาจึงต้องมาเรียนที่วิทยาลัยเทคนิคกรุเทพ ส่วนคนที่สองเรียนที่มหาวิทยาลัยศิลปากร คนที่สามเรียนที่อุเทนถวาย เวลานั้นลูกคนรองๆลงมา ก็ได้เข้าเรียนกันแล้วทุกคน นี่จึงเป็นภาระอันหนักอึ้ง ที่แม่ต้องมาบริหารการเงินเพื่อใช้จ่ายกับสามีหนึ่งกับลูกอีก 9 รวมตนเองด้วยเป็น11 คน

     ผมอยู่ใกล้ชิดกับแม่ ย่อมรู้ย่อมเห็นความเสียสละของแม่ ต่างกับพ่อที่แล้งน้ำใจกับภริยาและลูกของตน เวลาพ่อได้รับเงินค่าจ้าง แม้พ่อให้เงินแม่ แต่ในที่สุดพ่อก็จะมาถอนคืนเกินกว่าเงินที่ให้มาตอนต้นเสียอีก พ่ออยากได้อะไร ต้องได้ทุกครั้ง อย่างเช่น รถมอเตอร์ไซด์ พูดได้ว่าเวลานั้นราคาต่อคันเกือบครึ่งหมื่น  และนี่คือภาระของแม่ที่จะต้องกันเงินไว้จ่ายรายงวดทุกๆเดือนจนกว่าจะหมดสัญญาชำระหนี้

    “สงสารแม่น่ะ เสื้อผ้าของหนู ใช้มาตั้งแต่ป.1- ยันป.7 เลย รองเท้าที่หนูใส่ ป้าเช็งก็เอาของไอ้เล็กมาให้”ผมพูด

    “ดีแล้วน่า ที่มีใส่” แม่พูดสั้นๆ 

     ผมเคยเปรียบเทียบตนเองกับเพื่อนๆข้างบ้านและเพื่อนร่วมชั้น บางครั้งน้ำตามันซึม ออกมาโดยไม่รู้ตัว นึกชังพ่อของตนเองที่เป็นคนเห็นแก่ตัวไม่เหมือนกับพ่อของคนอื่นๆ 

                                             *************************

    ครั้งหนึ่งที่แม่ต้องรีบใช้เงิน แม่ได้เขียนจดหมายโดยฝากผมให้ไปยืมญาติ 4 ที่ แห่งแรกคือให้ไปยืมป้าสะใภ้ที่มีฐานะดี  บ้านหลังนี้คือที่ๆ ผมต้องไปส่งขนมจีบซาลาเปาให้ทุกๆเย็นนอกจากป้าจะรับขนมจากแม่ผมมาขาย เธอยังทำหวานเย็น ขนมปังและขนมอื่นๆอีก ทำเลของบ้านป้าดีมากเพราะอยู่ใกล้โรงหนัง 

      “ตอนนี้ ป้าไม่มีเลย” ป้าตอบปฎิเสธ  

       ความหวังต่อมา ..คือแม่ได้เขียนจดหมายไปให้อา ที่เป็นญาติห่างๆ ทั้งๆที่รู้ว่าอาคนนี้ ขี้เหนียวมากก็ยอมลองเสี่ยงดู  ปรากฎว่าได้มาครึ่งหนึ่งกับการขอยืม  

    “ก็ยังดี ได้เอามาจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า มิฉนั้นจะต้องถูกตัดทั้งไฟฟ้า และประปา”แม่พูด

    ในจำนวนญาติทั้งสี่ราย คนที่ให้ยืมง่ายที่สุดคือลุงพ้อ  ซึ่งมีอาชีพเป็นช่างไม้และภริยาของลุงทำแหนมขาย ส่วนลุงอีกคน มีอาชีพขับรถโดยสารระหว่างอำเภอ คนๆนี้ไม่ค่อยพูด หากเขามีเงินก็จะแบ่งปันมาให้ยืมเสมอ  แม่มักจะบ่นให้กับผมฟังว่า ขนาดป้าสะใภ้ที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกว่าญาติคนอื่นๆ ยังปฎิเสธการให้ยืมเงินบ่อยๆ  เพราะเกรงแม่จะไม่ใช้คืน  นี่ถือเป็นความทุกข์ระทมอย่างยิ่ง

    “ช่างป้า..เขาเถอะ รู้ว่าเขาไม่ให้ยืม ก็อย่าด้านหน้าไปหาเขาอีก  ?? ตอนนี้โรงรับจำนำเอกชน ก็เปิดให้บริการแล้ว” ผมพูดกับแม่

      ครั้งหนึ่ง…. ช่วงวันเสาร์อาทิตย์ แม่เคยเอาแหวนทองหนักหนึ่งสลึง กับสร้อยคอหนักหนึ่งสลึง  เม็ดพลอยและนิลอย่างละ4 เม็ดมาอวดให้ผมดู

    “นี่หากจำเป็น แม่คงเอาไปจำนำ  ”แม่พูด

      และสิ่งที่แม่พูดก็เป็นความจริง เพราะคนสร้างปัญหาให้กับครอบครัวคือพ่อ  พ่อต้องถูกตำรวจจับกุมเพราะไปอยู่ใกล้กับวงไพ่ ทั้งๆที่พ่อไม่ได้ร่วมวงเล่น แต่ไปอยู่ในบริเวณนั้น ก็เลยต้องกลายเป็นผู้ต้องหาร่วมไปด้วย   ครั้งถัดมาพ่อดื่มเหล้าเมาและขับรถไปชนลูกนายทหาร ตัวพ่อก็ต้องไปนอนโรงพยาบาลเกือบเดือน ผมต้องไปเยี่ยมดูแลพ่อตลอด จนหายเป็นปกติ จากนั้นพ่อต้องมาติดคุก เนื่องจากตำรวจอายัดตัวเพื่อรอขึ้นศาล ครั้งนี้แม่ต้องหาเงินเพื่อมาประกันตัวพ่อ หลายพันบาทซึ่งค่าของเงินในเวลานั้นแพงมาก สองสัปดาห์..ผมต้องหิ้วข้าวหิ้วน้ำไปให้พ่อเห็นพ่ออยู่ในกรงเหล็กแล้วนึกสงสาร

    “จะสำนึกหรือเปล่าไม่รู้ พ่อเรา  ทำให้แม่เดือดร้อน ตลอดเวลา”ผมคิด

    หลังจากขึ้นศาลได้มีการไกล่เกลี่ย แม่ต้องจ่ายค่าทำขวัญซึ่งนายทหารเรียกเป็นหมื่น เวลานั้นแม่ต้องหยุดทำขนม เที่ยวหยิบยืม เที่ยวกู้เงิน เพื่อไปจ่ายให้นายทหาร กว่าจะได้เงินยืมและเงินกู้ที่เขาเรียกดอกสูงเท่าไหร่ แม่ก็ต้องจำยอม เพราะเป็นข้อตกลงทางกฎหมาย

    “ขอได้กรุณาลดหย่อน ให้บ้างสักนิดเถอะผู้กอง  ดิฉันขายขนมได้วันละ ไม่ถึงสองร้อยบาท หักต้นทุนแล้วได้กำไร  เพียง 50 บาทเอง ลูกก็มีมาก”แม่พูด  แม่อ้อนวอนแล้วอ้อนวอนอีก จนผู้กองยอมลดหย่อนให้

    แม่ต้องจ่ายค่าทำขวัญและค่ารักษาพยาบาลให้กับลูกผู้กองเป็นเงินจำนวนไม่น้อย ว่าไปแล้วแม่ก็รู้สึกเสียดายกับจำนวนเงินที่ไม่ควรจะต้องเสียไป หนี้สิน ..ครั้งนี้ แม่ต้องรับภาระและต้องเหนื่อยมากขึ้น พ่อได้กลับมาทบทวนกับบทเรียนและค่อยๆเลิกดื่มเหล้าไปในที่สุด 

    เมื่อพี่ๆของผมรู้ข่าวกับเรื่องดังกล่าวก็ได้ช่วยหาเงินส่งมาช่วยปลดหนี้ให้แม่  แม่ไม่ยอมให้เสียเครดิตแม้แต่รายเดียว แม่ทยอยจ่ายให้เจ้าหนี้จนครบบางรายอาจจะล่าช้าไป ทุกคนล้วนเห็นใจ แต่สิ่งสำคัญวัตถุที่แม่เคยอวดผม ที่เอาไปจำนำเกินเวลากว่าที่จะไถ่ถอนได้ แม่จึงไม่เหลือของรักเลยสักชิ้นเดียว

    “ไม่เป็นไรหรอกแม่ ไม่ตาย เราก็คงหาซื้อมาใหม่ได้ ”ผมพูด

    "จำไว้นะลูก มีเงินทอง นับเป็นน้องเป็นพี่ แต่หาก เป็นหนี้ใคร ก็ต้องใช้เขาคืนนะ นี่แหละสัจธรรม ..

                                   “ใจเขาใจเรา จำไว้ให้ดี ”แม่ย้ำไว้หนักแน่น

                                                  ขลุ่ย   บ้านข่อย

                                                    (๒๓/๗/๖๗)

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×